หัวข้อ   “ประชาชนคิดอย่างไรกับนโยบายของ ผบ.ตร. คนใหม่”
                 จากการที่ พล.ต.อ.วิเชียร  พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่
ซึ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 7 กันยายน ที่ผ่านมา ได้ประกาศนโยบายการทำงานของสำนักงาน
ตำรวจแห่งชาติให้ตำรวจทุกคนยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติโดยเคร่งครัดเพื่อให้ตำรวจสามารถ
เป็นที่พึ่งของประชาชนได้อย่างแท้จริง ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์)
จึงได้ดำเนินการสำรวจเรื่อง “
ประชาชนคิดอย่างไรกับนโยบายของ ผบ.ตร. คนใหม่
โดยเก็บข้อมูลจากประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน
1,134 คน  เมื่อวันที่ 10 - 12 กันยายน ที่ผ่านมา พบว่า
ดีมาก (5)
ดี (4)
ปานกลาง (3)
พอใช้ (2)
แย่ (1)
 
 
 
                 จากนโยบาย 5 ด้านที่ประกาศ มีเพียง 2 ด้านที่ประชาชนเชื่อว่าจะทำได้ คือ
ตำรวจจะพิทักษ์รักษาสถาบัน พระมหากษัตริย์มิให้ผู้ใดล่วงละเมิด ถวายความปลอดภัยและ
ถวายพระเกียรติสูงสุด  โดยจะปฏิบัติให้เห็นผลทันที (มีผู้เชื่อว่าทำได้ร้อยละ 70.1)  และ
สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะเดินหน้าอย่างมีทิศทางโดยยกระดับตำรวจให้เป็นที่ยอมรับของ
ประชาชน ปรับปรุง ทบทวน และพัฒนาระบบการทำงานโดยใช้ยุทธศาสตร์นำการเปลี่ยนแปลง
โดยจะปฏิบัติให้เห็นผลภายในระยะเวลา 1-3 ปี (มีผู้เชื่อว่าทำได้ร้อยละ 61.2)  ส่วนอีก 3 ด้าน
ที่เชื่อว่าทำไม่ได้ได้แก่  ตำรวจทุกนายจะใส่ใจบริการประชาชนไม่ใส่เกียร์ว่าง เลิกรับส่วย
สินบน และข่มขู่รีดไถ  โดยจะปฏิบัติให้เห็นผลทันที (มีผู้เชื่อว่าทำไม่ได้ร้อยละ 81.6)
รองลงมาคือ ตำรวจจะต้องสามารถควบคุมปัญหาอาชญากรรม ปัญหายาเสพติด ปัญหาสังคมทั่วไป ให้อยู่ในภาวะไม่
กระทบต่อการดำรงชีวิตของประชาชน โดยจะปฏิบัติให้เห็นผลภายในระยะเวลา 1 ปี   (มีผู้เชื่อว่าทำไม่ได้ร้อยละ64.5)
และ  ตำรวจต้องเป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง โดยมีกิริยา วาจาสุภาพ ยิ้มแย้ม แจ่มใส   เมื่อประชาชนมาขอ
ความช่วยเหลือ   รวมทั้งสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างข้าราชการตำรวจทุกระดับชั้นและเสริมสร้างสำนึกการทำประโยชน์
เพื่อส่วนรวม   โดยปฏิบัติตนอยู่ภายใต้กฎหมายเช่นเดียวกับประชาชนทุกคน  โดยจะปฏิบัติให้เห็นผลภายในระยะเวลา
6 เดือน (มีผู้เชื่อว่าทำไม่ได้ร้อยละ 60.4)
 
                 ส่วนประเด็นเรื่องการยึดหลักความเป็นธรรมในการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ โดยใช้ระบบคุณธรรมและอาวุโส
เพื่อแก้ปัญหาการซื้อขายตำแหน่งนั้นประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 56.2 เชื่อว่าทำไม่ได้
   
                 สำหรับความเห็นต่อภาพลักษณ์ของตำรวจไทยภายหลังการเข้ารับตำแหน่งของ ผบ.ตร. คนใหม่  พบว่า
ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 70.1 เห็นว่าภาพลักษณ์ตำรวจยังคงเหมือนเดิม   มีเพียงร้อยละ 25.2 ที่เห็นว่าภาพลักษณ์ดีขึ้น
และอีกร้อยละ 4.7 คิดว่าภาพลักษณ์แย่ลง
   
                 เมื่อถามถึงอุปสรรคในการพัฒนาการทำงานของตำรวจ ประชาชนมองว่าอุปสรรคสำคัญที่สุดอันดับแรกใน
การพัฒนาการทำงานของตำรวจไทยให้มีประสิทธิภาพ สามารถเป็นที่พึ่งของประชาชนได้คือ  การไม่มีจิตสำนึกในหน้าที่
ของตน (ร้อยละ 26.9)  รองลงมาคือ ค่านิยมในแวดวงตำรวจ เช่น การใช้อำนาจข่มขู่ รีดไถ รับสินบน (ร้อยละ 22.5)
และการถูกแทรกแซงจากภาคการเมือง (ร้อยละ 21.6)
   
                 สำหรับปัญหาที่ต้องการให้ตำรวจเน้นแก้ไขเป็นอันดับแรกในขณะนี้ได้แก่ ปัญหายาเสพติด (ร้อยละ 26.5)
รองลงมาคือ ปัญหาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน (ร้อยละ 24.3)   และปัญหาการสร้างสถานการณ์
และความไม่สงบทางการเมือง (ร้อยละ 11.8)
   
                 ดังรายละเอียดต่อไปนี้
 
             1. ความคิดเห็นต่อการที่ พล.ต.อ. วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. คนใหม่ได้แถลงนโยบายการทำงาน
                 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 7 กันยายน ที่ผ่านมา ว่านโยบายดังกล่าวต่อไปนี้จะทำ
                 ได้จริงตามที่แถลงหรือไม่

แนวนโยบายด้านต่างๆ
เชื่อว่าทำได้
(ร้อยละ)
เชื่อว่าทำไม่ได้
(ร้อยละ)
รวม
(ร้อยละ)
ตำรวจจะพิทักษ์รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์มิให้ผู้ใด
ล่วงละเมิด ถวายความปลอดภัยและถวายพระเกียรติ
สูงสุด โดยจะปฏิบัติให้เห็นผลทันที
70.1
29.9
100.0
สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะเดินหน้าอย่างมีทิศทาง
โดยยกระดับตำรวจให้เป็นที่ยอมรับของประชาชน ปรับปรุง
ทบทวน และพัฒนาระบบการทำงานโดยใช้ ยุทธศาสตร์
นำการเปลี่ยนแปลง   โดยจะปฏิบัติให้เห็นผลภายในระยะ
เวลา 1 - 3  ปี
61.2
38.8
100.0
ตำรวจต้องเป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง โดยมีกิริยา
วาจาสุภาพ ยิ้มแย้ม แจ่มใส   เมื่อประชาชนมาขอความ
ช่วยเหลือ รวมทั้งสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างข้าราชการ
ตำรวจทุกระดับชั้นและเสริมสร้างสำนึกการทำประโยชน์
เพื่อส่วนรวม โดยปฏิบัติตนอยู่ภายใต้กฎหมายเช่นเดียวกับ
ประชาชนทุกคน   โดยจะปฏิบัติให้เห็นผลภายในระยะ
เวลา 6 เดือน
39.6
60.4
100.0
ตำรวจจะต้องสามารถควบคุมปัญหาอาชญากรรม
ปัญหายาเสพติด ปัญหาสังคมทั่วไป  ให้อยู่ในภาวะไม่
กระทบต่อการดำรงชีวิตของประชาชน  โดยจะปฏิบัติให้
เห็นผลภายในระยะเวลา 1 ปี
35.5
64.5
100.0
ตำรวจทุกนายจะใส่ใจบริการประชาชนไม่ใส่เกียร์ว่าง
เลิกรับส่วย สินบน และข่มขู่รีดไถ  โดยจะปฏิบัติให้เห็นผล
ทันที
18.4
81.6
100.0
 
 
             2. ความคิดเห็นต่อการยึดหลักความเป็นธรรมในการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ โดยใช้ระบบคุณธรรม
                 และอาวุโส พบว่า


 
ร้อยละ
คิดว่าทำได้
43.8
คิดว่าทำไม่ได้
56.2
 
 
             3. ความเห็นต่อภาพลักษณ์ของตำรวจไทยภายหลังการเข้ารับตำแหน่งของ ผบ.ตร. คนใหม่ พบว่า

 
ร้อยละ
ดีขึ้น
25.2
เหมือนเดิม
70.1
แย่ลง
4.7
 
 
             4. อุปสรรคสำคัญที่สุดในการพัฒนาการทำงานของตำรวจไทยให้มีประสิทธิภาพ สามารถเป็น
                 ที่พึ่งของประชาชนได้ คือ


 
ร้อยละ
การไม่มีจิตสำนึกในหน้าที่ของตน
26.9
ค่านิยมในแวดวงตำรวจ เช่น การใช้อำนาจข่มขู่ รีดไถ รับสินบน
22.5
การถูกแทรกแซงจากภาคการเมือง
21.6
ความไม่เป็นธรรมในการปรับชั้นยศ และความไม่เป็นธรรมในหน่วยงานตำรวจ
11.3
การขาดสวัสดิการ ได้เงินเดือนน้อย เบี้ยเลี้ยงน้อย
9.9
การขาดการอบรม พัฒนา เพิ่มพูนทักษะ ความรู้ให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ
3.3
การขาดเครื่องมือที่ทันสมัยเหมาะสมกับงาน
2.3
การขาดการจัดสรรงบประมาณจากภาครัฐอย่างเพียงพอ
2.2
 
 
             5. ปัญหาที่ต้องการให้ตำรวจเน้นแก้ไขเป็นอันดับแรกในขณะนี้ ได้แก่

 
ร้อยละ
ปัญหายาเสพติด
26.5
ปัญหาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
24.3
ปัญหาการสร้างสถานการณ์และความไม่สงบทางการเมือง
11.8
ปัญหานักเรียนตีกัน
9.4
ปัญหาภายในแวดวงตำรวจด้วยกันเอง
8.7
ปัญหาการจราจร
8.3
ปัญหาผู้มีอิทธิพลในพื้นที่
7.0
อื่นๆ อาทิ ปัญหาการพนัน ปัญหาการคอร์รัปชัน
4.0
 
 
รายละเอียดในการสำรวจ
ระเบียบวิธีการสำรวจ:
                  การสำรวจใช้การสุ่มตัวอย่างประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปในทุกสาขาอาชีพ ในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน
27 เขต จาก 50 เขต ทั้งเขตชั้นใน ชั้นกลาง และชั้นนอก ได้แก่ คลองเตย คลองสามวา คันนายาว จอมทอง ดอนเมือง
ดุสิต ทุ่งครุ บางกอกน้อย บางกะปิ บางคอแหลม บางซื่อ บางนา บางบอน ปทุมวัน ป้อมปราบ พญาไท พระนคร มีนบุรี
ราชเทวี ราษฎร์บูรณะ ลาดกระบัง ลาดพร้าว วังทองหลาง สาทร สายไหม หนองจอก และหลักสี่ และจังหวัดในเขต
ปริมณฑลรวม 3 จังหวัด ได้แก่ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน
(Multi-Stage Sampling) จากนั้นใช้วิธีเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์แบบพบตัว ได้กลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้นจำนวน 1,134 คน
เป็นชายร้อยละ 50.2 และหญิงร้อยละ 49.8
 
ความคลาดเคลื่อน (Margin of Error):
                  ในการประมาณการขนาดตัวอย่างมีขอบเขตของความคลาดเคลื่อน  3% ที่ระดับความเชื่อมั่น 95%
 
วิธีเก็บรวบรวมข้อมูล:
                  ใช้การสัมภาษณ์แบบพบตัว โดยเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามที่มีโครงสร้างแน่นอน
โดยเป็นข้อคำถามแบบเลือกตอบ (Check List Nominal)  และคำถามปลายเปิดให้ผู้ตอบระบุคำตอบเอง จากนั้นคณะ
นักวิจัยได้นำแบบสอบถามทุกชุดมาตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ก่อนบันทึกข้อมูลและประมวลผล
 
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล: 10 - 12 กันยายน 2553
 
วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ: 14 กันยายน 2553
 
สรุปข้อมูลพื้นฐานของกลุ่มตัวอย่าง:
ตารางข้อมูลประชากรศาสตร์
 
จำนวน
ร้อยละ
เพศ:    
             ชาย
569
50.2
             หญิง
565
49.8
รวม
1,134
100.0
อายุ:
 
 
             18 – 25 ปี
290
25.6
             26 – 35 ปี
300
26.4
             36 – 45 ปี
263
23.2
             46 ปีขึ้นไป
281
24.8
รวม
1,134
100.0
การศึกษา:
 
 
             ต่ำกว่าปริญญาตรี
713
62.9
             ปริญญาตรี
363
32.0
             สูงกว่าปริญญาตรี
45
4.0
             ไม่ระบุการศึกษา
13
1.1
รวม
1,134
100.0
อาชีพ:
 
 
             ข้าราชการ / พนักงานรัฐวิสาหกิจ
111
9.8
             พนักงาน / ลูกจ้างบริษัทเอกชน
287
25.3
             ค้าขาย / ประกอบอาชีพส่วนตัว
355
31.3
             รับจ้างทั่วไป
143
12.6
             พ่อบ้าน / แม่บ้าน / เกษียณอายุ
94
8.3
             อื่นๆ อาทิ นักศึกษา อาชีพอิสระ ว่างงาน เป็นต้น
142
12.5
             ไม่ระบุอาชีพ
2
0.2
รวม
1,134
100.0
 
ติดตามกรุงเทพโพลล์ผ่าน twitter ได้ที่  twitter bangkokpoll
Download PDF file:  
 
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์)
Email: bangkokpoll@bu.ac.th      โทร. 0-2350-3500 ต่อ 1770-1776